Saturday, February 14, 2015

เรียนเปียโนเด็กเล็ก เริ่มเมื่อไหร่ ยังไงดี

เรียนเปียโนเด็กเล็ก เริ่มเมื่อไหร่ ยังไงดี
ผู้เขียน: FOON

การให้เด็กเรียนรู้ด้านดนตรีเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่พ่อแม่สมัยใหม่ส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้เรียน การเรียนเปียโนของลูกทำให้ผมได้ย้อนทบทวนแนวคิดที่เหมือนจะสวนทางกันของแนววอลดอร์ฟที่ไม่เร่งเด็ก กับ แนวอัจฉริยะสร้างได้ที่เน้นให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก

ผมเป็นคนหนึ่งที่นึกถึงเรื่องเรียนดนตรีของลูกตั้งแต่ลูกยังเล็ก ด้วยความที่ชอบฟังเพลง สะสมซีดี แต่เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็น ถ้าใครที่ตามอ่านแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างอัจฉริยะในเด็ก โดยเฉพาะหนังสือ "กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” คงเข้าใจดีถึงความกังวลใจที่อยากจะให้ลูกเรียนนั้นรู้นี่เต็มไปหมดตั้งแต่ยังเล็ก ๆ หนังสือบอกเน้นว่าเป็นเวลาทองหากเลยช่วงนี้ไปแล้ว โอกาสการเรียนรู้อย่างรวดเร็วก็จะค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่ถ้าไปอ่านงานแนววอลดอร์ฟก็แทบจะเข้าใจสวนทางกันอยากให้ลูกอยู่เฉย ๆ ไม่เร่งอะไรมากมาย วาดรูป เก็บกิ่งไม้ใบหญ้ามาจินตนาการเป็นของเล่นต่าง ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด เพื่อให้พลังของสมองและจินตนาการได้เติบโต ดูเหมือนสองแนวคิดจะขัดกันอย่างเลือกไม่ถูก แต่หลังจากลูกผ่านการเรียนรู้ภาษาและเริ่มต้นเรียนดนตรี ทำให้ผมเข้าใจแนวคิด 2 แนวนี้ได้มากขึ้น

ในความเห็นผม ภาษาและดนตรีมีความใกล้กันมาก คือทั้งภาษาและดนตรีคือการเชื่อมโยงการฟังสู่การสื่อสารผ่านเสียง แต่ว่าการส่งเสียงของภาษานั้นประมาณ 1.5 – 3 ขวบร่างกายก็เริ่มพร้อมแล้วที่จะพูดออกมา แต่กับเครื่องดนตรีต้องรอความพร้อมของร่างกายมากกว่ากว่าที่เด็กจะใช้ร่างกายกับเครื่องดนตรีได้อย่างคล่องแคล่ว


ผมใช้แนวทางสองภาษากับลูกคือ พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่ลูกได้อายุขวบกว่ามาตลอด ปัจจุบันลูกมีแนวโน้มที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผม ทั้งสำเนียงและสำนวน ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้ยินแนวคิดหนึ่งเสมอว่าภาษาที่สองควรจะ “สอน” เมื่อภาษาแม่เข้มเข็ง พร้อม ๆ กับเรื่องเด็กควรจะเริ่มเรียนวิชาการเมื่อเข้า 7 ขวบ ซึ่งเข้าใจว่าแนวคิดเหล่านี้มาจากความคิดรูดอล์ฟ สไตเนอร์ (แนววอลดอร์ฟ) ว่าหลังจากเด็กผลัดฟันจะเข้าสู่อีกช่วงของชีวิตซึ่งพร้อมแล้วสำหรับ “การเรียน” ซึ่งในวัยที่เล็กกว่านั้นเป็นช่วงของการเลียนแบบ

          “ระหว่างช่วงเจ็ดปีแรกคือตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วง ผลัดฟัน เด็กจะอยู่ในโลกของการเลียนแบบ... ...ในขั้นนี้เด็กยังเล็กเกินไปที่จะได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการไม่ว่ารูปแบบ ใดก็ตาม  มันสร้างความเจ็บปวดให้กับข้าพเจ้าเมื่อทราบว่าหกขวบถูกกำหนดให้เป็นเกณฑ์ อายุในการเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ  เด็กไม่ควรเข้าโรงเรียนก่อนปีที่เจ็ดของชีวิต” (จาก http://www.fahkwang.com/waldorfthailand.php)

          ส่วนแนวคิดอีกด้านขอยกตัวอย่างหนังสือกว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว หัวใจหลักของหนังสือกล่าวประมาณว่า เด็กเล็กมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ได้อย่างมากมายกว่าที่เราคิด และสามารถเรียนรู้ จดจำอะไรได้มากมายตั้งแต่เรื่องภาษาหลายๆ ภาษา เสียงดนตรี ต่างๆ จึงควรส่งเสริมให้เด็ก “เรียนรู้” สิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เล็กๆ

          สำหรับพ่อแม่มือใหม่นี่ทำเอาเครียดได้เลยนะครับ จะเชื่อใครดี แล้วเราจะเอายังไง
          สำหรับผมมันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่พ่อแม่จะได้อ่านและเดินตามความคิดใดความคิดหนึ่งเท่านั้น เพราะผมคิดว่าทั้งสองแนวพูดถูกในบริบทของตัวเอง ผมเคยยึดถือแนวคิดวอลดอร์ฟมาก่อนในลูกคนแรกและมาเอาด้วยกับกว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้วในลูกคนที่สอง

          คำแนะนำของผมคืออยากให้จับหรือทำความเข้าใจให้ดีกับคำว่า “เรียนรู้” “การสอน” “การเรียน” เชื่อว่าเราคงคุ้นเคยกับ การเรียน – การสอนมากกว่า คือ มีครูมาสอน ๆ ๆ เราก็เรียน ๆ ๆ รู้หรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการเรียนรู้มันกว้างกว่านั้น แม้เราจะปล่อยเด็กอยู่ที่บ้าน หากแต่มีสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการเรียนรู้ มีผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่าง แม้เราไม่ต้องทำอะไร เด็กสามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา นี่คือการเรียนรู้ จะเกิดจากการสอนก็ได้ สภาพแวดล้อมรอบตัวก็ได้

สไตเนอร์ / วอลดอร์ฟพูดถูกในเรื่อง “การสอน”

ผมใช้แนวคิดของ "กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” จากหนังสือ “สองภาษาสร้างได้” มาใช้ในการเรียนรู้ภาษาของลูกและได้ผลเป็นที่น่าประทับใจ พอสามขวบกว่าลูกเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผมในบางเรื่อง ทำให้ผมต้องกลับมาพิจารณาแนวคิดของ วอลดอร์ฟ โดยสไตเนอร์อย่างละเอียด ซึ่งผมพบว่า ที่สไตเนอร์ยกมาก็ยังคงเป็นความจริง เพราะเขาพูดในฐานะนักการศึกษา ของคนที่ทำโรงเรียน การมีห้องเรียนสำหรับ “การสอน” ซึ่งผมคิดว่า ถ้าจะจับเด็กมานั่งสอน ควรเริ่มเมื่อเด็กโตมีความเข้าใจเรื่องนามธรรม มีพื้นฐานของภาษา มีความเข้าใจความเป็นนามธรรมของคำศัพท์ต่าง ๆ พอควรซึ่งก็น่าจะประมาณ 7 ขวบ และในที่นี้น่าจะรวมถึงวิชาการ การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วย แต่การใช้ภาษาอังกฤษพูดกับลูกประหนึ่งว่าเป็นครอบครัวลูกครึ่ง เราไม่ได้สอนภาษา แต่เราสร้างสิ่งแวดล้อมที่ใช้ภาษาเพิ่มขึ้น ทำเป็นประจำ ใช้ทุกวันกลายเป็นว่าในเวลาหนึ่งปีลูกอยู่ในสิ่งแวดล้อมของอีกภาษา มากมายกว่าการนั่งเรียนอาทิตย์ละ ไม่กี่ชั่วโมงหลายเท่า ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ได้มีความกดดันมาก ไม่ได้มีความคาดหวัง แค่ใช้ชีวิตปรกติเหมือนที่ต้องหายใจทุกวัน


การเรียนดนตรีในฐานะภาษา

          ผมเคยอ่านบทความของครูดนตรีแนววอลดอร์ฟ ที่แนะนำและให้ความเห็นว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะให้เด็กเรียนไวโอลิน ผมไม่แน่ใจเรื่องอายุ แต่จำไม่ผิดคือ 6 ขวบและเล่าอธิบายเปรียบเทียบว่าอายุก่อนหลังมีผลต่างอย่างไรแต่ผมจำเนื้อหาไม่ได้แต่เขาแนะนำไว้ที่ 6 ขวบ แต่สไตเนอร์แนะนำไว้ที่ 7 ขวบ อีกเรื่องหนึ่งผมได้จากการฟังประสบการณ์จากเพื่อนที่ให้ลูกเรียนเปียโน เล่าว่าลูกเขาเข้าเรียนตอนประมาณ 5 ขวบเด็ก ๆ ที่มาเรียนก่อนตอนอายุน้อยคือที่อายุ 4 ขวบสักพักก็ค่อยๆ หายไป ทำให้ผมไม่ได้รีบให้ลูกเรียนเปียโน แม้จะอยากให้เรียน แต่ผมหาครูเปียโนเด็กเล็กอย่างแนวซูซูกิ หรือแบบที่สอนพร้อมพ่อแม่ไปด้วยที่เชียงใหม่ไม่ได้ เลยดึงไว้จนลูกได้ 4 ขวบครึ่งจึงได้ครูและเริ่มให้ลูกเรียนเปียโน ต้องถือว่าลูกเริ่มเรียนด้วย บรรยากาศของ "การเรียน-การสอน" จริง ๆ 2 – 3 ครั้งแรกลูกอยู่บนเปียโนได้แค่ 5 – 10 นาที และการเรียนรู้ไปไปอย่างช้ามาก เพราะกว่าจะเจอครูอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 15 – 30 นาที อาทิตย์ไหนลูกสมาธิไม่ดีก็ไม่ค่อยได้อะไร จนขึ้นครั้งที่ 5 จึงคุยกับครูและพาแม่ที่อยากเรียนเปียโนอยู่แล้วไปเรียนด้วย เรียนไปพร้อม ๆ กันทำให้แม่รู้ว่าลูกเรียนอะไร กลับมาสอน กลับมาฝึกลูกได้ และแม่เองต้องซ้อมบ่อย ๆ กลายเป็นสิ่งแวดล้อมและเพิ่มชั่วโมงการเรียนรู้เพิ่มขึ้นอย่างมากมายกลายเป็นจากที่อาทิตย์ละ 15 นาที กลายเป็นวันละ 30 นาที (ครั้งละ 5 – 10 นาทีหลาย ๆ ครั้งในหนึ่งวัน)  และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลูกเริ่มคุ้นเคย จนพัฒนาการด้านเปียโนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียง 1 เดือนก็ไปไกลจนพ่อตามไม่ทัน
          ที่เล่ามาย่อหน้าด้านบนทั้งหมดเพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าดนตรีมีส่วนคล้ายภาษาที่ต้องฝึกฝนและใช้บ่อย ๆ จึงพัฒนาได้ดี ดังนั้นสิ่งแวดล้อมจึงสำคัญมาก เมื่อแม่มาร่วมเรียนและฝึกเปียโนด้วยทำให้สิ่งแวดล้อมในบ้านเปลี่ยนไปมาก มีเสียงเปียโนเพิ่มขึ้น สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกอยากฝึกมากขึ้น (รวมถึงเคี่ยวเข็ญในบางเวลา แต่ยังไงก็ไม่ถึงระดับที่ลูกไม่ชอบ) ทำให้ผมเห็นว่าสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมาก ตอนเล็ก ๆ ผมเปิดการ์ตูนเรื่อง Piano Mori ให้ลูกดูบ่อย ๆ และฟังเพลงอยู่เรื่อย ๆ ทั้งคลาสิก เพลงเด็ก รวมถึงเพลงที่ผมชอบฟัง


          ทั้งหมดทำให้ผมเข้าใจเรื่องดนตรีในฐานะภาษามากขึ้น เราเรียนภาษาเพื่อให้ ฟัง พูด อ่าน เขียนได้ ดนตรีก็เช่นกัน

1) ต้องฟังออก
2) การเล่นดนตรีชิ้นนั้น ๆ ได้เปรียบเสมือนการพูด ต่างกันที่ไม่ได้พูดผ่านร่างกาย แต่พูดผ่านอุปกรณ์ที่มีการใช้แตกต่างกัน เช่น เปียโน กีตาร์ จะพูด(เล่น) ดนตรีชิ้นนั้นได้คล่องไม่คล่องก็อยู่ที่การฝึกฝนร่างกาย
3) อ่าน / 4) เขียน คือการอ่านและเขียนโน้ตได้ ซึ่งการเรียนดนตรีแบบซูซูกิ จะเน้นที่ 2 ข้อแรกก่อน คือฟังและลอกเลียนเล่นตามได้ก่อน แล้วค่อยเรียนเรื่องการอ่านทีหลัง แต่การเรียนแบบทั่ว ๆ ไปจะเน้นที่การอ่านโน้ตได้ไปพร้อม ๆ กับการเล่นเครื่องดนตรี คือเป็นการอ่านและพูดไปพร้อม ๆ กัน
ผมเห็นว่า การเรียนการสอนภาษาไทยในสมัยคนรุ่นผม คือการเรียน อ่านกับเขียน เลยเพราะเราฟังและพูดได้อยู่แล้ว และพอเราเรียนภาษาอังกฤษ เราเรียนเช่นเดียวกับเรียนภาษาไทย คือ เรียนพยัญชนะ A B C เรียนอ่าน Cat Bat Rat โดยที่เรายังฟังกับพูดไม่คล่อง ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษของเราล้มเหลว
เช่นกัน การเรียนดนตรีในแบบที่เรียนทั่ว ๆ ไป ที่เราพบดังประสบการณ์ของผมคือเรียนตามหนังสือ Alfred คือการเรียนแบบ ฟัง พูด อ่าน ไปพร้อม ๆ กันซึ่งเป็น “การเรียน การสอน” (เป็นแบบที่สไตเนอร์พูดถึงว่าควรเริ่มเมื่อเด็กอายุ 7 ขวบ) การเรียนแบบนี้เปรียบเหมือนการเรียนภาษาอังกฤษแบบที่เราถูกสอนมา ABC, Cat Rat Bat ซึ่งมักไม่ได้ผลในเด็กเล็ก แต่การเรียนแบบซูซูกิ จึงเหมือนการเรียนรู้ดนตรีแบบภาษา คือฟังกับพูดให้ได้ก่อน อ่านทีหลัง เน้นสิ่งแวดล้อมสำคัญ เรียนรู้ผ่านการลอกเลียนทำซ้ำ ให้เด็กได้ฟังบ่อย ๆ เพื่อให้พูดผ่านเครื่องดนตรีได้ ส่วนการสอนอ่านโน๊ตมาทีหลัง


เริ่มเมื่อไหร่ ยังไง
ในกรณีผมจะเห็นว่าสำหรับภาษาอังกฤษ ผมมีความพร้อม สามารถพูดภาษาอังกฤษกับลูกได้เลย หาสื่อภาษาอังกฤษให้ลูกฟังได้ ส่วนในกรณีการเรียนดนตรีผมพร้อมน้อยกว่า เพราะเราเล่นไม่เป็น ผมจึงให้ลูกเริ่มช้าใกล้ ๆ ช่วงอายุที่เขาแนะนำ
คำแนะนำของผมสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือดนตรีที่พ่อแม่ไม่มีความรู้ ถ้าจะให้ได้ผลคือ ต้องหาวิธีสร้างสิ่งแวดล้อมในเรื่องนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด เช่น เปิดสื่อภาษานั้น ๆ ให้ลูกได้ฟังบ่อย ๆ เปิดดนตรี เสียงเครื่องดนตรีให้ลูกฟังเรื่อย ๆ ถ้าทำได้ผู้ใหญ่ก็ควรจะเริ่มเรียนรู้ในเรื่องนั้น  ๆ เพื่อทำให้ตัวเองเป็นสิ่งแวดล้อมให้กับลูก

แน่นอนในเรื่องนี้เราไม่ได้พร้อมที่จะทำได้ในทุก ๆ ภาษาหรือเครื่องดนตรี แต่สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ จากการฟังเรื่องเล่าของเพื่อนถึงเพื่อนที่มีลูก 2 คน คนหนึ่งให้ลูกเรียนรู้แบบสร้างอัจริยะ ใช้ Flash card สอนทำให้อ่านหนังสือได้แต่อายุน้อย ๆ เค้าบอกว่าลูกดูจะฉลาดทำได้ แต่เหมือนไม่ค่อยมีไหวพริบเมื่อเทียบกับอีกคน (ผมไม่กล้ายืนยันข้อมูลเพราะฟังมาอีกที)
อีกกรณีผมเห็นเด็กโฮมสกูล ที่มีการเรียนรู้แบบเสรี ที่ต้องบอกว่าเป็นเด็กบ้านเรียน เพราะวิธีการเรียนรู้น่าจะใกล้กับแนวอลดอร์ฟ คือเด็กเริ่มเรียนดนตรี เมื่อโตอาจจะอายุ 12 ปี แต่เริ่มเพราะความสนใจของตัวเอง ทำให้ขวนขวายฝึกฝนไม่นานก็เริ่มเล่นเครื่องกีตาร์ได้และเริ่มขยายไปเครื่องดนตรีอื่น ซึ่งทำได้ดีแค่ไหน เก่งแค่ไหนผมไม่สามารถประเมินได้ แต่คำถามก็คือ เราอยากให้ลูกเรียนรู้เรื่องนั้น ๆ ไปทำไม อยากให้ลูกเรียนเครื่องดนตรีชิ้นนั้น ๆ เก่งแค่ไหน เพื่ออะไร ??? ผมเชื่อว่าเด็กที่หยิบจับเครื่องดนตรีมาเล่นต้องมีแรงบัลดาลใจบางอย่าง ถ้ายังเล่นต่อเนื่องโดยไม่ต้องเคี่ยวเข็นแสดงว่ามีความสุขในการเล่น

แต่เดิมเราอาจฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัน เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิตผ่านช่วงวัยของเขา เช่นการเรียนรู้ภาษาเพื่อสื่อสาร การใช้ช้อนส้อมเพื่อกินอาหารเอง แต่ในสังคมที่ซับซ้อนขึ้น การมีทักษะอะไรเพิ่มอีกหลาย ๆ อย่างอาจะถือเป็นแต้มต่อในอนาคตของสำหรับลูก ประมาณว่าฝึกไว้ก่อนเผื่อได้ใช้ หรือฝึกอย่างหนึ่งเพื่อที่จะช่วยพัฒนาอีกด้านหนึ่ง เช่น ฝึกดนตรีเพื่อพัฒนาสมาธิ ฯลฯ แต่การมีทักษะที่มากมาย โดยที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต มันทำให้ไม่มีความหมาย คือมันอาจจะสำคัญในอนาคต แต่ถ้าพ่อแม่จัดสรรทักษะมากมายให้ลูกฝึก มากจนเบียดบังเวลาที่เค้าจะใช้ ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เค้าสนใจ เวลาที่ลูกจะได้เข้าใจตัวเอง เรียนรู้ความสนใจ หัวใจของตัวเอง ได้ฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองสนใจ ทักษะที่ถูกยัดเยียดจะทำให้แรงผลักดัน การเรียนรู้ที่เกิดจากภายในของตัวเด็กเองไม่สามารถที่จะส่งพลังออกมาได้

สุดท้ายที่ผมอยากเน้นคือสิ่งแวดล้อม ถ้าบ้านเราเป็นร้านกาแฟ ร้านขายอาหาร เด็กย่อมมีโอกาสมากกว่าคนอื่นในการคุ้นเคยกับผู้คนมากมาย การบริการ กลิ่มสัมผัสในอาหาร เครื่องดื่ม มีความสามารถตามสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่เติบโตขึ้นมา อย่างเช่นเช่นเด็กที่โตบนดอย ย่อมมีร่างกายแข็งแรงและมีทักษะในการเอาตัวรอด การหาอาหารจากธรรมชาติ เวลาที่เค้าควรได้ใช้กับสิ่งเหล่านั้น ดนตรีที่แยกขาดจากวิถีชีวิตเช่นเปียโน ก็อาจจะไม่ได้มีความสำคัญเอาเสียเลยในวิถีครอบครัวแบบนั้น

ที่มา : http://foon.homeschoolnetwork.org/content/235.html

เล่าสู่กันฟัง การให้ลูกเรียนเปียโน

เล่าสู่กันฟังอีกด้านของ การให้ลูกเรียนเปียโน ดนตรีของคนรวย



เริ่มมาจากผมให้ลูกชายเริ่มเรียนเปียโน ของYamaha  ตั้งแต่ 4 ขวบ จะมีให้เริ่มเรียนเรียกว่า JMC
โดยวัตถุประสงค์เริ่มแรกคือ  แฟนไปได้ยินใครเค้าว่ามาหรือ เรื่องจริง หรือ สายดนตรี  ให้ข้อมูลเองว่า

เรียนเปียโน จะทำให้สมาธิดีขึ้น

ก็คิดให้เรียนแค่นั้น เดือนละ 2,200 บาท  OK จ่ายไหวสบายๆ

เรียนไปเรื่อยๆ เป็นปี ซึ่งลูกชายผมจะนิ่งตั้งแต่เด็กแล้ว  เวลาเรียนซึ่ง 1-2 ปีแรกพ่อ/แม่ ต้องเข้าไปด้วย

โดยพ่อแม่บางคน ทั้งแอบดุ แอบหยิกใต้โต๊ะ เพราะลูกไม่ยอมทำอะไรเลย  ไม่ชอบ

ส่วนลูกผมก็ตั้งใจเรียนตามปกติ

เรียนได้ 2 ปี  ครู (เป็นลูกเจ้าของโรงเรียน แต่ก็เป็นครูเปียโน ) ที่ดูแลเด็กแต่ละคนด้วย  ก็ดูแล้วว่าลูกผมไปได้

ก็เลยให้เข้าโครงการ เพื่อไปแข่งขันโดยต้องเรียนเพิ่ม อาทิตย์ละวัน ชั่วโมงละ  800 บาท X 4 ก็จ่ายเพิ่มอีกเดือนละ  2,400

รวมเป็นเดือนละ  4,600 ละ

ก็ยังพอ OK พอจ่ายไหว เรียนโครงการไปได้ ครึ่งปี  ช่วงใกล้แข่งที่ต้องมีการติวเพิ่มอีกเพื่อให้เล่นให้ไพเราะ

(เปียโน เพลงแต่ละเพลง สามารถเล่นได้หลายแบบ เพราะมีความแตกต่างน้ำหนักการกด จังหวะเบาดังช้าเร็ว )

จึงไปติวเพิ่มกับครูญี่ปุ่น โดยลูกชายผมแข่งคู่ ต้องเรียน 5 ครั้งก่อนแข่ง  ก็ฝืนใจจ่ายไปเพราะคู่อีกคนเค้าไปเรียนด้วย

ตอนแรกนึกว่าชั่วโมงละ 2,000  ต่อคู่  แต่พอจ่ายเงินเจอคนละ 2,000  โดนไปอีก 10,000  อึ้ง-

แข่งเสร็จก็ไม่ได้อะไร  OK แพ้ชนะไม่เป็นไร   แต่รู้สึกว่าการไปติวนั้นไม่มีค่าอะไรเลย  ไม่ได้เรียนโน๊ตอะไรไว้ใช้ต่อไป

เป็นการติวแบบคาราโอเกะ เล่นเพลงแข่งให้เพราะแค่นั้น

คุณครูแนะนำครูโครงการคนใหม่อีกเก่งกว่า จาก 800 บาท เป็น 1,200 บาท

กำก็ลองดู ตอนนี้เป็นเดือนละ  7,000 ละ  เริ่มเคลียดเล็กน้อย

เรียนไปอีก 1 ปีจน 6 ขวบละ ระหว่างนั้นครูก็แนะนำให้เรียนเพิ่มระหว่างสัปดาห์ ครูคนนั้นคนนี้

แรกๆก็เรียนบ้าง  หลังๆชักไม่ไหว  กลายเป็นเดือนละหมื่นแล้ว

ก็แนะนำครูญี่ปุ่นอะไรอีกชั่วโมงละ 3,000  ก็บอกไปว่าไม่มีเวลา

(จริงๆ ไม่มีตังค์ จะด่าผมก็ได้นะครับว่า ทำไมต้องห่วงหน้าตัวเอง ไม่กล้าบอกไปตรงๆ  แต่บางทีเรื่องไม่มีตังค์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรไปประกาศบอกให้คนเค้ารู้  )


ใกล้แข่ง ครูให้ติวเพิ่มก็ไม่สนใจ บอกไม่อยากเดียว  เพราะดูคู่แข่งแล้วยังไงก็ไม่มีทางชนะได้

(ดูพ่อแม่บางคน ที่ทุ่มเงินกับมันไปมาก  ก็อยากได้ผลตอบแทนกลับมา กลายเป็นเปียโน เป็นความเคลียด  ไม่ใช่ความบันเทิงแล้ว)

การเรียนเปียโนครู ก็เหมือนโค้ช ยิ่งมีโค้ชเยอะ ก็ยิ่งเก่งมาก  แต่โค้ชเก่งๆ มันแพงมากกกก

โดยแชมป์แต่ละรุ่นที่ได้  ทั้งแชมป์สยามกลการ หรือแชมป์ที่ฝรั่งจัดแข่งขัน

คนที่ได้แชมป์หลายๆคนที่ผมรู้จัก เรียนเปียโนเดือนละ  4-50,000 บาท  ห้าหมื่นบาทเลยครับ แต่เค้าจ่ายกันไหวเพราะรวยมากกก ลูกๆเรียนนานาชาติ ชอร์เบอร์รี่

ไม่ได้อ้างว่าแพ้เพราะเงินน้อยกว่า  เพราะเค้าก็เรียนเยอะกว่า เล่นเก่งกว่าจริงๆ

มีเด็กคนนึงที่อยู่โครงการรุ่นเดียวกัน  แรกๆเล่นสู้ลูกผมไม่ได้เลยครับ  แต่พอเจอพ่อแม่มีกำลังจ่ายเงินเข้าไปเดือนละ 40,000 ตอนนี้เก่งกว่าลูกผมไปแล้ว

จนทุกวันนี้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าให้เรียนได้แต่  JXC ธรรมดาเดือนละ 2,400 กับเรียนเพิ่มชั่วโมงละ 1,500 X 4 รวมเป็น 8,400 ต่อเดือนก็เต็มที่แล้ว   เรียนเพื่อความบันเทิงเท่านั้น  บอกลูกว่าถ้าลูกอยากชนะก็ต้องซ้อมเอาเอง

ทุกวันนี้เวลาลูกไปเรียน เห็นพ่อแม่ พาเด็กเล็กๆมาสมัครตอนเปิดClass  คิดและคุยกับแฟน ว่ายังไม่รู้อะไรซะแล้ว เพราะผมคิดว่าในคนที่มาสมัครนั้น มีทั้งคนรวยมากกก และคนธรรมดา  (เคยได้ยินผู้ปกครองคนนึงมา ลาออกจากโครงการเค้าบอกตรงๆ เลยว่า จ่ายไม่ไหว)


ก็แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์อีกมุมมอง คนที่กำลังจะให้ลูกเรียนเปียโนให้ฟังเท่านั้นนะครับ


เพิ่มเติมค่าตัวเปียโนครับ

ลืมเล่าต่อว่า ครูที่โรงเรียนก็เชียร์ให้ซื้อแกรนด์เปียโนอีกครับ  ราคาพิเศษ ลดไปลดมาแล้วเหลือ  900,000 ครับ เชียร์ไม่ดูคนเลย

ผมซื้อเปียโนมือสอง Upright ครับ  160,000  ก็เต็มที่แล้วครับ  คิดเผื่อถึงค่าตัวเปียโนด้วยนะครับ

เปียโนไฟฟ้า 50,000  ไม่มีประโยชน์มันเล่น Touching ไม่ได้น้ำหนักจริงๆครับ

ที่มา : tan_www @pantip.com/topic/31136583

ดนตรีเป็นวิชาที่ต้องการความสม่ำเสมอในการฝึกฝน


ดนตรี เป็นวิชาที่ต้องการความสม่ำเสมอในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก เพื่อการบรรลุเป้าหมาย สำหรับผู้เรียนวัยเด็กนั้นอาจยังไม่สามารถจัดสรรเวลาซ้อม หรือมีวินัยได้เท่าผู้ใหญ่ ดังนั้นครู ผู้ปกครอง ควรช่วยกันดูแลจัดสรรเวลาในการซ้อม ปลูกฝังและแสดงให้ผู้เรียนเห็นถึงความสำคัญของ "การมีวินัย" เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนเอง

Credit : ครูดนตรี เรียนดนตรี สอนดนตรี

ช่วยเลือกเปียโนไฟฟ้าให้ทีค่ะ

ช่วยเลือกเปียโนไฟฟ้าระหว่าง Kawai กับ Yamaha ให้ทีค่ะ



ขอคำแนะนำเรื่องการเลือกซื้อเปียโนไฟฟ้าหน่อยนะคะ ไม่มีความรู้เรื่องเปียโนมาก่อน แต่กำลังจะเริ่มเรียนเปียโน กำลังมองหาเปียโนไฟฟ้ามาฝึกเล่นที่บ้าน รายละเอียดมีดังนี้ค่ะ

1. งบประมาณ 30,000 - 40, 000 บาท
2. อยากได้เสียงที่เหมาะกับแนวเปียโนคลาสสิกค่ะ (อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าโทนเสียงยี่ห้อไหนเหมาะค่ะ)
3. ไม่เน้นการเคลื่อนย้าย
4. อยากได้ touching ที่ดี (ด้วยความที่ไม่เคยเล่นเปียโน จึงไม่ทราบว่า touching ที่ดีควรหนักเบาอย่างไรค่ะ)

ตัวเลือกที่ดูไว้คือ Kawai KDP80 กับ Yamaha YDP140 รายละเอียดดังนี้ค่ะ



Kawai KDP80
-88คีย์มาตรฐาน กดพร้อมกันได้ 96 ตัวโน๊ต
- กลไกคีย์ Advanced Hammer Action IV-F with Acoustic Reaction Technolong
-ให้กำเนิดเสียงด้วยระบบ Harmonic lmaging   Technolong
- ฟังก์ชั่น Four-Hand Mode เล่นพร้อมกันได้ 2 คน
-ปรับเสียง Reverb ได้ 3 แบบ Room,Stage,Hall
-เลือกเสียงได้ 15 เสียง
- มีเครื่องนับจังหวะ (Metronome) ในตัว
- บทเรียนฝึกหัด 55 บท (Burgmuller 25, Czerny 30) พร้อมบทเรียน Alfred
-เพลงสาธิต 15 เพลง ,เพลงฝึกซ้อม 40 เพลง



Yamaha YDP 140
Keyboard    Number of Keys    88
Type    Graded Hammer Standard (GHS) Keyboard with Matte Black Keytops
Touch Sensitivity    Hard/Medium/Soft/Fixed
Pedal    Number of Pedals    3
Half Pedal    Yes
Functions    Damper, Sostenuto, Soft
Tone Generation    Tone Generating Technology    AWM Dynamic Stereo Sampling
Number of Dynamic Levels    3
Polyphony    Number of Polyphony (Max.)    64
Preset    Number of Voices    6

หรือถ้ามีตัวอื่นที่น่าสนใจและอยู่ในงบประมาณ ก็สามารถแนะนำได้เลยนะคะ
ขอบคุณมากสำหรับทุกความเห็นค่ะ

ที่มา : กลางเมษา @pantip.com/topic/30231170

ครอบครัวไหนมีลูกเรียนเปียโนบ้างคะ



เราเพิ่งให้ลูกเรียนเปียโนเพิ่งเรียนได้ 5 เดือน ตอนนี้ลูกอายุ 4 ขวบครึ่ง  อยากพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเรียนเปียโนว่าจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการที่จะซื้อเปียโนให้ลูกไว้ซ้อมที่บ้าน เพราะได้พูดคุยกับโรงเรียนที่สอนลูกอยู่ เค้าบอกว่า ประมาณอีก 2-3 ปี หากต้องการสนับสนุนลูกในด้านนี้จริงๆ  ก็ควรจะซื้อไว้เลย เพราะตอนนี้ลูกยังใช้แค่อิเล็กโทนเรียนเพราะน้ำหนักมือไม่ได้ แต่อีกหน่อยลูกก็ต้องใช้เปียโนแล้ว เราสนใจจะซื้อให้ลูกไว้ซ้อมที่บ้านแต่สองจิตสองใจ คือจะซื้อถูกๆ มาก่อน (ถูก ๆ หมายถึง คีย์บอร์ด) หรือว่าซื้อดีๆ ไปเลย ดี ๆ ของเราคือ เปียโนประมาณ 3 แสน Yamaha uplight U3 (รุ่นนี้ไปหาข้อมูลมาหลายวันอยู่เหมือนกัน)  ที่ลังเลเพราะมาถามสามี สามีบอกว่าซื้อคีย์บอร์ดมาเล่นก่อน ส่วนเราไม่อยากซื้อซ้ำซ้อน ก็อยากได้เลย แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเราตัดสินใจถูกหรือเปล่าเพราะราคาค่อนข้างสูง เลยอยากรู้ดังนี้ค่ะ
1.   มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนคะ ที่จะต้องมีเปียโนไว้ซ้อมที่บ้าน (ลืมบอกไปว่าที่โรงเรียนก็ซ้อมได้ แต่เราไม่เคยไปซ้อมวันธรรมดาเพราะไม่ค่อยมีเวลาไปนอกจากเป็นชั่วโมงเรียน แล้วก็ซ้อมต่อนิดหน่อยแค่นั้นเอง)
2.  ที่โรงเรียนบอกว่า อีก 2-3 ปี ลูกต้องใช้เปียโนแทนคีย์บอร์ดในการฝึกซ้อมเพราะเริ่มโตขั้น น้ำหนักนิ้วเริ่มได้ ถ้าหากซื้อคีย์บอร์ดมาซ้อมที่บ้านก่อน แล้วอีกหน่อยต้องซื้อเปียโนหรือเปล่า เพราะไม่ทราบจริงๆ ในความแตกต่างระหว่างคีย์บอร์ดกับเปียโน (หมายถึงในด้านการเรียน)
3.  โรงเรียนบอกอีกว่า หากซื้อไปใช้แล้วต้องการขายจะขายได้ในราคาปัจจุบัน อันนี้จริงไหมคะ?
4.  การซื้อเปียโนมือสอง ดีไหมคะ? หากเราต้องการใช้ในระยะยาว
5.  ราคาเปียโนขึ้นตลอดไม่มีลงใช่ไหมคะ?
คิดอยู่ตลอดว่าหากเสียเงินให้เค้าเรียนแล้วถ้าไม่มีอุปกรณ์ให้เค้าไว้ซ้อมก็คงจะเสียเวลาเรียน และก็เสียเงินโดยใช่เหตุ  รบกวนผู้รู้หรือคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเรียนเปียโนเข้ามาแชร์ด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

ที่มา : สมาชิกหมายเลข 885442 @pantip.com/topic/30979132
Copyright © 2019 Piano House